หนังใหม่ Kimi กับเนื้อหาแฝงที่แน่นจนเกินไปมั้ยนะ

ถ้าจะพูดถึงหนังทริลเลอร์ ที่เล่นกับปมเรื่องโควิดมาผสม และมีการใช้อาการป่วยทางจิตหรือบุคลิคที่เข้ากับคนยาก รวมไปถึงเรื่องราวแนวสายลับไฮเทค สืบสวน ฆาตกรรม เรื่อง Kimi ที่จะพูดถึงนี้ก็มัดรวมกันไว้หมดแล้ว แน่นอนว่าอ่านมาถึงตรงนี้ การดูหนังเรื่องนี้น่าจะให้ความรู้สึกล้นๆไปหน่อย เพราะดูหนังซักเรื่องนึง อะไรมันจะมีสารพัดประเด็นเข้ามารวมกันได้มากขนาดนั้น แต่ก็เป็นความพยายามของผู้สร้างที่จะสอดแทรกและเสียดสีสังคมเอาไว้ในเรื่องนี้ ซึ่งพอเราได้ดูหนังเรื่อง Kimi แบบเปิดสมองเปิดใจ พยายามตามเนื้อเรื่องไปเรื่อยๆ มันก็ไม่ได้แย่หรือเยอะเกินไปขนาดนั้น และก็เล่าได้สมูธพอตัวเลย โดยตัวละครหลักของเราก็คือหญิงสาวที่ชื่อว่า Kimi ตามชื่อหนังนั่นแหละ ซึ่งเธอเป็นคนที่มีอาการแพนิค วิตกจริตกับการเข้าสังคมและการอยู่ในที่ ๆ คนเยอะ ๆ เธอทำงานเป็นพนักงานไอที บวกกับช่วงการระบาดของโควิด ทำให้เธอเอาแต่อยู่ในห้องตัวเอง ไม่ต้องออกไปไหนเลย ไม่ต้องเจอคน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เธอชอบอยู่แล้ว แม้ว่าจะส่งผลให้อาการประจำตัวมันยิ่งแย่ลง จนกระทั่งเกิดเหตุที่จะ disrupt ชีวิตเธอไปนั่นแหละ

เรื่องนี้เริ่มดำเนินเรื่องเมื่อเธอได้ยินเสียงประหลาดเกิดขึ้น และคิดว่าน่าจะมีคนฆ่ากันตาย ทำให้เธอพยายามติดต่อโลกภายนอก รวมถึงบริษัทที่เธอทำงาน เพื่อที่ว่าจะได้ส่งเรื่องไปถึงตำรวจอีกทีนึง ดูหนังมาถึงจุดนี้ก็เกาหัวหน่อยนึง ว่าทำไมไม่โทรหา 911 ไปเลยนะ แต่ก็นั่นแหละ อะไรก็ไม่ง่ายแบบนั้น เพราะไม่ว่า Kimi จะพยายามติดต่อใครแค่ไหน ก็ไม่มีใครตอบรับกลับมาเลย ทำให้เธอเริ่มคิดมาก และถามตัวเองว่านี่ตัวเองหลอนไปเองรึเปล่า หรือควรจะปล่อยเรื่องผ่านไปเฉยๆ ดูหนังมาตรงถึงจุดนี้เอง ที่ตัวหนังเริ่มมีทิศทางชัดเจนยิ่งขึ้นไปในทางของหนังสืบสวนสอบสวนการฆาตกรรม ทริลเลอร์ และพยายามจะเสียดสีชีวิตในยุคโซเชียลจ๋า ๆ เลย แต่กว่าจะมาถึงทางที่ชัดก็ล่อไปเกือบครึ่งเรื่องแล้ว ทำให้รู้สึกว่าการเท้าความอาจจะยืด เอ้อระเหยไปซักหน่อย แต่ก็ดูหนังมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ต้องไปให้สุดนะ ถึงจะขัดใจบ้าง ว่าถ้าเปลี่ยนวิธีเล่าเรื่อง หนังจะน่าสนใจกว่านี้ขึ้นได้ในอีกหลาย ๆ แง่มุมเลย

ในเรื่องของการดำเนินเรื่อง เนื่องจากตัวละครไม่ได้เยอะเท่าไหร่ แน่นอนว่า โซอี้ คราวิช หรือนักแสดงนำ ก็คือเดอะแบกของหนังเรื่องเรื่องนี้ และในประเด็นนี้ก็ถือว่าเธอเอาอยู่เลยทีเดียว ไม่ได้รู้สึกขัดใจกับการแสดงของตัวเธอมากมายนัก ยังไงนักแสดงคนนี้ก็ผ่านงานใหญ่ ๆ งานดราม่าหนัก ๆ มาเยอะ แม้ว่าเรื่องนี้คงไม่ใช่งานชิ้นเอก แต่ก็อยู่ในระดับที่โอเคเลย ในแง่ของการแสดง และแม้ว่าฝีมือการแสดงของเธออาจจะยังไม่สามารถทำให้มองข้ามวิธีการเล่าเรื่องที่ยังคงให้ความรู้สึกติดขัด และเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับคนดูก็ตามที

มาที่ประเด็นต่อไปคือเรื่องเนื้อหาที่ว่า หนังตั้งใจจะแซะหรือเสียดสีสังคม โดยรวมแล้วก็ดูเหมือนว่าจะเล่นหัวข้อของการอยู่รวมกันและการใช้งานระหว่างคนและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่พัฒนาไปไกลกว่าที่คนเราจะเข้าใจและใช้งานมันอย่างระวัง จนกลายเป็นทาสของเทคโนโลยี ประมาณนี้ ซึ่งในหนังเรื่องนี้เล่นประเด็นที่ว่าคอมพิวเตอร์หรือเทคโนโลยี ฉลาดเท่า หรือมากกว่าผู้ใช้งานของมันไปในหลาย ๆ ครั้ง และการที่คนเราต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากไป ก็ทำให้เราเป็นทาสของเทคโนโลยีหรือถูกควบคุมได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะจากคอมพิวเตอร์เองหรือจากผู้คนที่ใช้ประโยชน์จากเรื่องพวกนี้อีกทีหนึ่ง ซึ่งสรุปแบบกำปั้นทุบดินก็เหมือนการคนสมัยนี้ติดโซเชียลและมือถือมาก ไม่ว่าจะเพื่องานหรือเพื่อความบันเทิง จนโทรศัทพ์และสายชาร์จกลายเป็นของที่ต้องมีตดตัวเสมอนั่นแหละ

สุดท้ายแล้ว ในภาพรวมของหนังเรื่อง Kimi ก็ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้เป็นที่น่าจดจำขนาดนั้น โดยคิดว่าดูจบไม่นานก็น่าจะลืม ๆ ไป แต่ก็ถือว่าเป็นหนังลงสตรีมมิ่งแนวระทึกขวัญที่ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย เพียงแต่อาจจะยืด หรืให้ความรู้สึกเฉื่อยไปซักนิด และในเรื่องงานโปรดัคชั่นเมื่อเทียบกับทุนสร้างแล้วก็ทำออกมาได้มาตรฐาน ไม่ได้รู้สึกติดขัดแต่อย่างใด ยังไงซะผู้กำกับก็มีชื่อเสียงและมีผลงานดี ๆ ติดชาร์ตหนังรางวัลอยู่บ้าง บางทีอาจจะเป็นเพราะบรีฟหรืออะไรอย่างอื่นก็ได้ ที่ทำให้ประเด็นมันล้นมากไปหน่อยจนกลายเป็นแบบนี้ แต่โดยรวมคือ ดูเพลิน ไม่รู้สึกว่าเสียเวลานะ

 


Posted

in

by

Tags:

Comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *